How to choose the dripper - which one is right for you!

How to choose the dripper - which one is right for you!

เพื่อนๆหลายคนที่อยากลองเริ่มทำกาแฟ หรือบางคนอาจจะเริ่มทำกาแฟอยู่แล้วแต่ก็ยังคงไม่แน่ใจว่าดริปเปอร์แต่ล่ะแบบ ที่มีทั้งรูปทรงที่แตกต่างกัน และวัสดุที่ต่างกันนั้น มันใช้งานต่างกันยังไง และให้ผลของรสชาติที่แตกต่างกันไหม และเราควรจะเลือกดริปเปอร์ตัวไหนดีให้เหมาะสมกับความต้องการของเรา?

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าดริปเปอร์แต่ล่ะแบบนั้น มันแตกต่างกันอย่างแน่นอน ทั้งในด้านการใช้งาน และการให้ผลของรสชาติที่แต่ล่ะตัวทำได้ วันนี้เราจะมาแนะนำเพื่อนให้พอเห็นภาพว่าแต่ล่ะปัจจัยส่งผลต่อสิ่งใด พร้อมทั้งสรุปข้อดีข้อเสียของดริปเปอร์แต่ล่ะแบบ

1. รูปทรง เราขอแบ่งดริปเปอร์ออกเป็น 2 จำพวกหลักๆที่เห็นกันได้ทั่วไป

  • ทรงกรวย หรือ V60 

ดริปเปอร์ทรงนี้ มีข้อดีคือ สามารถดึงรสชาติที่ซับซ้อนของกาแฟออกมาได้ ให้ความเปรี้ยวสดชื่นดี และให้น้ำหนักกาแฟที่น้อย แต่เป็นดริปเปอร์ที่ใช้งานค่อนข้างยาก ต้องใช้เทคนิคในการชงเพื่อความคุมผลลัพธ์ให้ออกมาสม่ำเสมอกันในทุกๆครั้งที่ชง

  • ทรงตะกร้า ก้นตัด หรือ Kalita wave 

ดริปเปอร์ทรงนี้ ให้ข้อดีเรื่องการดึงของความหวานของกาแฟ รสสัมผัสที่เต็มปากเต็มคำน้ำหนักดี และใช้งานง่าย แต่อาจจะไม่สามารถดึงรสชาติของกาแฟออกมาได้ซับซ้อนเท่ากับทรงกรวย

 

2. วัสดุของตัวดริปเปอร์ ส่วนนี้จะส่งผลในเรื่องของการเก็บกักความร้อนกระจายความร้อน และลักษณะการใช้งาน เราไม่คงไม่สามารถบอกได้ว่าตัวที่เก็บความร้อนดีที่สุด จะทำกาแฟได้ดีที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างประกอบกัน เราจะอธิบายให้เพื่อนๆเห็นภาพว่าวัสดุไหนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร โดยจะขอเรียงตามลำดับการเก็บกักความร้อนที่ดีที่สุดไปจนเก็บกักความร้อนได้น้อยที่สุด

  • เซรามิค เป็นวัสดุที่กักเก็บความร้อนได้ดีที่สุด ทำให้ได้ผลลัพธ์ของกาแฟที่รสชาติกลมกล่อมนุ่มนวล เนื้อสัมผัสดี ชูลักษณะเด่นของกาแฟตัวนั้นๆ แต่จะมีข้อควรระวังในการลวกวอร์มดริปเปอร์ก่อนชงกาแฟ ถ้าเราวอร์มน้อยไปหรือมากเกินไปอาจจะส่งผลต่อรสชาติของกาแฟได้ เพราะอย่างที่เรารู้กันว่ามันเป็นวัสดุที่เก็บกักความร้อนได้ดี การลวกดริปเปอร์ที่มากเกินไปอาจจะเกิดการ overheat ของดริปเปอร์และส่งผลให้กาแฟเกิดการสกัดที่มากจนเกินไปได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราลวกดริปเปอร์น้อยจนเกินไป อุณหภูมิของน้ำที่เราใช้ในการชงอาจจะตกไปต่ำกว่าที่เราตั้งไว้ก็เป็นได้

  • แก้ว เป็นวัสดุที่เก็บกักความร้อนได้ดีรองลงมาจากเซรามิค ต้องบอกว่าแก้วและเซรามิคนั้นใกล้เคียงกันมากในเรื่องการเก็บกักความร้อน เพราะฉนั้นลักษะภาพรวมของรสชาติที่จะได้จึงใกล้เคียงกับเซรามิค คือให้ความบาลานซ์ที่ดี กลมกล่อม ชูลักษณะเด่นของกาแฟตัวนั้นๆ ส่วนในข้อเสียของทั้งแก้วและเซรามิค ก็อาจจะเป็นในเรื่องของการใช้งาน ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเจ้าสองตัวนี้อาจจะแตกง่ายไม่เหมาะกับการพกพาไปในที่ต่างๆ

  • พลาสติก เป็นวัสดุที่เก็บกักความร้อนได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของพลาสติกที่เป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้อุณหภูมิถ่ายเทออกไปได้อย่างช้าๆ ส่งผลให้ได้รสชาติที่ซับซ้อน ดึงกลิ่นและรสชาติของกาแฟออกมาได้ชัดเจน และข้อดีในเรื่องของการพกพาที่สะดวก ไม่ต้องกลัวแตก น้ำหนักเบา และยังราคาถูกอีกด้วย

  • โลหะ เป็นวัสดุที่กักเก็บความร้อนได้น้อยที่สุด แต่หากมองเรื่องการนำพาความร้อนหรือการกระจายความร้อนนั้น โลหะเป็นวัสดุที่ทำได้ดีที่สุด คือมันจะร้อนเร็วและเย็นเร็ว ส่งผลให้ได้รสชาติที่จัดจ้าน ชัดเจนออกไปในโทนสว่าง ดึงน้ำหนักและรสสัมผัสของกาแฟออกมาได้ดี เหมาะสำหรับการพกพา สวยงาม แต่อาจจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าดริปเปอร์ชนิดอื่นๆ

 

3. ลักษณะเกลียวด้านในของดริปเปอร์ เกลียวในลักษณะต่างๆ ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่แตกต่างกัน หลักการของเกลียวแต่ล่ะแบบก็คือการช่วยทำให้อัตราการไหลของกาแฟช้า - เร็ว ต่างกันออกไป

  • เกลียวแบบคลาสสิคของ Hario V60 ที่จะสังเกตุได้ว่าจะเป็นเกลียวลักษณะโค้งหมุนไปตามเข็มนาฬิกา ยาวตั้งแต่ขอบด้านบนของดริปเปอร์ไปจนสุดถึงก้นดริปเปอร์ เกลียวลักษณะนี้พบเห็นได้ทั่วไปจากดริปเปอร์ทรง V60 ของ Hario ในส่วนของการใช้งาน ถ้าเราเทน้ำให้สายน้ำวนตามเข็มนาฬิกาสอดคล้องกับเกลียว จะทำให้อัตรการไหลเป็นไปได้อย่างสะดวกตามทางของเกลียวที่ช่วยส่ง ทำให้กาแฟไฟลค่อนข้างเร็ว แต่ถ้ากลับกันเราเทน้ำทวนเข็มนาฬิกา ก็จะทำให้อัตราการไหลของกาแฟช้าลงนั่นเอง เกลียวลักษณะนี้เด่นในเรื่องของการทำรสชาติกาแฟที่นุ่มนวล น้ำหนักกำลังดี ดึงลักษณะเด่นของกาแฟออกมาได้อย่างครบถ้วน

*โปรดสังเกตุ ไม่ใช่ Hario V60  ทุกตัวที่จะเป็นเกลียวลักษณะนี้ Hario ได้ผลิตดริปเปอร์บางรุ่นที่ใช้เกลียวที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เช่น Hario V60 Dripper 02 Tetsu Kasuya Model ที่เป็นเกลียวแบบพิเศษ คือ ความยาวของเกลียวจะไม่ได้ลงไปสุดจนถึงก้นของดริปเปอร์ ทำให้อัตตราการไหลของกาแฟจากดริปเปอร์นี้ช้ากว่า สกัดรสชาติออกมาได้เข้มข้นชัดเจนมากกว่าตัว Hario V60  ทั่วๆไป

  • เกลียวแบบตรง จะส่งผลให้อัตตราการไหลของการเป็นไปอย่างคล่องตัวมากที่สุด ทำให้กาแฟไหลเร็ว ให้รสชาติที่สว่างสดใส ดึงความเปรี้ยว ความเป็นผลไม้จากกาแฟได้ดี รสสัมผัสน้ำหนักเบาละมุน 

  • เกลียวรูปดาว นี่คือนวัตกรรมใหม่ของปี 2021 ที่ Hario เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานมานี้ กับดริปเปอร์ที่ชื่อว่า Mugen ทาง Hario ได้ออกแบบเกลียวที่จะช่วยให้อัตตราการไหลของกาแฟเป็นไปอย่างเสถียรมากที่สุด คือไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป และเขายังเคลมว่าเจ้าเกลียวรูปดาวนี้จะช่วยทำให้กาแฟออกมาอร่อยด้วยการเทน้ำแค่เพียงครั้งเดียว ! แล้วปล่อยให้เกลียวรูปดาวควบคุมอัตตราการไหลของกาแฟจนได้ผลลัพธ์ของกาแฟที่ กลมกล่อม น้ำหนักและรสสัมผัสที่นุ่มนวล ถือเป็นดริปเปอร์ที่เหมาะกับมือใหม่เป็นอย่างยิ่ง

นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆของเกลียวแต่ล่ะแบบที่เราจะเห็นกันบ่อยๆ ทั้งนี้ยังมีเกลียวอีกมากมายที่หลายๆเจ้าทำออกมาเพื่อตอบโจทย์กับกลุ่มของลูกค้าที่หันมาสนใจการดริปกาแฟมากยิ่งขึ้น เราไม่สามารถบอกได้ว่าแบบไหนดีกว่า แบบไหนชงได้อร่อยกว่า เพราะแต่ล่ะแบบก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานต่างกัน มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันออกไป คงต้องเลือกจากสิ่งที่เราชอบ ผลลัพธ์ของรสชาติกาแฟที่เราตามหานั่นเอง

4. ขนาดของดริปเปอร์ ที่เราจะเห็นกันบ่อยๆก็คือ 01 - 02 ต่างกันก็คือ ขนาดที่จะรองรับกับปริมาณผงกาแฟและน้ำได้ ซึ่งส่งผลต่อจำนวนกาแฟที่มันจะทำออกมาได้นั่นเอง 

 

- ดริปเปอร์ขนาด 01 จะรองรับกาแฟได้ไม่เกิน 20 - 25 กรัม ก็คือจะทำกาแฟได้ต่อครั้ง 1-2 เสริฟ ( 200 - 300ml) 

- ดริปเปอร์ขนาด 02 จะรองรับกาแฟได้ 20 - 40 กรัม ก็คือจะทำกาแฟได้ต่อครั้ง 2 -4 เสริฟ ( 300 - 500ml)

การเลือกดริปเปอร์ให้เหมาะสมกับจำนวนของกาแฟที่เราจะใช้ก็มีส่วนสำคัญ เช่นลองคิดภาพว่าถ้าเราใช้ดริปเปอร์ 01 ใส่กาแฟ 30 กรัม นั่นคงจะยากมากที่จะทำให้กาแฟทั้งหมดโดนน้ำอย่างทั่วๆกันและสม่ำเสมอ อีกทั้งพื้นที่ภายในของดริปเปอร์ก็น่าจะไม่สามารถรองรับกับจำนวนน้ำที่เราจะต้องใช้เทในแต่ล่ะขั้นตอนของการชงได้

ส่วนการใช้กาแฟที่น้อยกว่าที่ดริปเปอร์นั่นออกแบบมา ก็อาจจะส่งผลถึงในเรื่องการควบคุมความสม่ำเสมอของรสชาติได้ ลองจินตนาการว่าเราใช้ Hario V60 - 02 ชงกาแฟ 10กรัม นั่นเท่ากับว่าพื้นที่ภายในดริปเปอร์ที่เราใช้ในการชงครั้งนี้จะอยู่แค่ในส่วนด้านล่างไม่เกินครึ่งของดริปเปอร์ เท่ากับว่าเราใช้เกลียวที่เป็นส่วนกลางไปถึงปลาย ส่งผลให้อัตตราการไหลค่อนข้างเร็ว อาจจะทำให้เราควบคุมความสม่ำเสมอของรสชาติได้ไม่ดีนัก

5. ลักษณะการใช้งาน 

  • ดริปเปอร์ทรงกรวย ใช้งานค่อนข้างยาก ในแง่ของการควบคุมอัตราการไหล เพราะดริปเปอร์ทรงนี้ถูกออกแบบมาให้น้ำไหลเร็ว น้ำหนักของสายน้ำที่เราเทลงบนกาแฟที่หนัก-เบา อาจจะส่งผลต่อการไหลที่ไม่สม่ำเสมอได้ และปัจจัยอื่นๆที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำให้ดริปเปอร์ตัวนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับมือใหม่สักเท่าไหร่ มันอาจจะต้องใช้เทคนิคและประสบการ์ณในการควบคุมปัจจัยต่างๆให้ได้รสชาติอย่างที่เราต้องการ

แต่ถ้าใครอยากได้ผลลัพธ์ในแบบของดริปเปอร์ทรงกรวยโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเทคนิคในการชงมาก เราขอแนะนำเจ้า Hario Immersion Dripper Switch ที่มีสวิตควบคุมการไหลของน้ำได้ ทำให้เราไม่ต้องกังวลในเรื่องของน้ำหนักในการเท 

และอีกตัวก็คือ Mugen Dripper ที่เราได้แนะนำไปก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าสองตัวนี้จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับดริปเปอร์ทรงกรวย โดยวิธีการชงอย่างง่ายๆไม่ซับซ้อน 

  • ดริปเปอร์ทรงก้นตัด ดริปเปอร์ทรงนี้จะใช้งานได้ง่ายกว่าทรงกรวย อัตตราการไหลของกาแฟจะช้ากว่า กาแฟจะถูกแช่กับน้ำนานกว่า ทำให้ควบคุมได้ง่าย ทำซ้ำได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ

*แต่ก็อาจจะเจอปัญหาน้ำกาแฟไม่ไหลเพราะรูที่ค่อนข้างเล็ก ถ้าเราแบ่งการเทน้ำมากครั้งเกินไป หรือบดกาแฟละเอียดไป อาจจะทำให้น้ำค้างอยู่ในดริปเปอร์นานจนเกิดรสชาติขมได้

ในการแก้ปัญหาเรื่องน้ำขังในดริปเปอร์ทรงตะกร้า Mountain Dripper ทำออกมาได้ดีมากรูใหญ่ตรงกลางช่วยให้น้ำกาแฟไหลได้สะดวกยิ่งขึ้น ไม่เกิดปัญหาน้ำขังในดริปเปอร์อย่างแน่นอน และยังให้รสชาติที่กลมกล่อมกำลังดีในแบบของดริปเปอร์ทรงก้นตัดอีกด้วย

  • ดริปเปอร์ทางเลือก ในปัญจุบันนี้มีดริปเปอร์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่มากมาย หลายรูปทรง หลายเทคนิคในการใช้งาน วันนี้เราจะขอแนะนำดริปเปอร์ทางเลือกตัวหนึ่งที่หลายๆคนอาจจะเคยเห็นมาบ้าง

  • Aeropress เป็นดริปเปอร์ที่ลักษณะเป็นกระบอกมีด้ามกดเพื่อดันกาแฟออกมา ให้รสชาติที่เข้มข้นชัดเจน ชงได้หลากหลายแบบ ทั้งแบบแช่ และแบบดริป ใช้งานค่อนข้างง่ายเพียงแค่ใส่กระดาษกรอง เทน้ำ คนเล็กน้อย และกดน้ำกาแฟออกมา ทำความสะอาดได้ง่าย และยังเหมาะกับการพกพาไปในทุกๆที่อีกด้วย

และทั้งหมดนี้คือไอเดียคร่าวๆของการเลือกอุปกรณ์ทำกาแฟ ในเริ่มแรกคุณอาจจะต้องเลือกจากสิ่งที่คุณคิดว่าใช่ที่สุดก่อน และเรียนรู้ไปกับมัน จากนั้นเมื่อคุณได้เริ่มทำกาแฟไปสักระยะหนึ่ง คุณจะพอเห็นภาพว่าจริงๆแล้วคุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน แบบไหนที่สะดวกและเหมาะกับชีวิตประจำวันของคุณมากกว่ากัน

ขอให้ทุกๆคนมีความสุขกับการทำกาแฟ 

แล้วพบกันใหม่ครับ 😊

กลับไปยังบล็อก